76% เห็นด้วย
พิจารณาพ.ร.ก.โอนกำลังพลและงบประมาณฯ
30 กันยายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาล 'คสช.2' ลงนามออกกฎหมายเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์
เมื่อคณะรัฐมนตรีใช้อำนาจออกกฎหมายเป็นพระราชกำหนดจะต้องนำให้รัฐสภาพิจารณารับรองทันทีที่เปิดประชุมสภา ปัญหาสำคัญของการออกพระราชกำหนดครั้งนี้ คือ เงื่อนไขในการออกพระราชกำหนด ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 กำหนดว่า ต้องเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ถ้าไม่มีเหตุเร่งด่วนคณะรัฐมนตรีควรเสนอกฎหมายเป็นร่างพระราชบัญญัติตามกระบวนการปกติ แต่คณะรัฐมนตรีโดยพล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถอธิบายถึงความจำเป็นเร่งด่วนได้ 17 ตุลาคม 2562 เมื่อครม.นำพ.ร.ก.ฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ปิยบุตร แสงกนกกุล อภิปรายถึงความไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขของ มาตรา 172 ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ 70 คนลงมติไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ และแพ้ไปด้วยคะแนนรวม 374 ต่อ 70 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง
เห็นด้วย 374 ไม่เห็นด้วย 70 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 40 29.10.2019
50% เห็นด้วย
พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระที่ 1
ทางปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อรัฐบาลต้องการงบประมาณจะเสนอเป็น ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ทุกปี เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณ การพิจารณางบประมาณปี 2563 เป็นที่จับตาเพราะรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนแบบ "ปริ่มน้ำ" และมี ส.ส. ที่ถูกตัดสิทธิอยู่ระหว่างการเลือกตั้งใหม่อีกจำนวนหนึ่งทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอน หากมี ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลไม่ลงมติสนับสนุนอาจทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณที่รัฐบาลเสนอนั้นไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคกับการพัฒนางานของระบบราชการ และหากเป็นเช่นนั้นตามธรรมเนียมทางการเมืองรัฐบาลต้องรับผิดชอบโดยการลาออกหรือยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่
17 ตุลาคม 2562 สภาผู้แทนราษฎรนัดพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางถึงสามวันเต็ม และในคืนวันที่ 19 ตุลาคม 2562 สภาผู้แทนราษฎรก็ลงมติ เห็นชอบ 251 เสียง งดออกเสียง 234 เสียง ให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ผ่านวาระแรก เข้าสู่การตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณารายละเอียดในวาระที่สองต่อไป ซึ่งกำหนดระยะเวลาพิจารณา 30 วัน ก่อนจะนำกลับเข้ามาอภิปรายในที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง
เห็นด้วย 251 ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 234 ไม่ลงคะแนน 12 29.10.2019
45% เห็นด้วย
ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาผลกระทบโครงการอีอีซี
Eastern Economic Corridor (EEC) หรือ โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล คสช.2 ซึ่งสานต่อมาจากแผนเศรษฐกิจเดิมที่ดำเนินมาตั้งแต่ยุคแรกที่ คสช.1 โดยมี 'สมคิด จาตุศรีพิทักษ์' เป็นผู้ผลักดันคนสำคัญ ภาพในฝันของการดำเนินโครงการแบบ EEC คือ การพัฒนาพื้นที่ทางเศรษฐกิจเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ในสามจังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด ของโครงการอีอีซี คือ การพุ่งขึ้นของราคาที่ดินและการค้าที่ดิน ทำให้เกษตรกรที่เคยเช่าที่ดินทำการเกษตรและการประมงมายาวนาน ต้องถูกยกเลิกสัญญาเช่าโดยทันทีเมื่อเจ้าของที่ดินขายที่ดินให้กับนักลงทุน และผลกระทบที่จะตามมาอย่างที่สอง คือ ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงสามพรรคการเมืองได้แก่ อนาคตใหม่ ประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญตรวจสอบผลกระทบโครงการอีอีซี โดยใช้ชื่อและวัตถุประสงค์การทำงานต่างกันไป หลังจากญัตตินี้ถูกเลื่อนพิจารณาหลายครั้ง เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562 ที่ประชุมมีมติไม่เห็นด้วยให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญด้วยเสียง 231 ต่อ 223 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง จากผู้เข้าประชุม 456 คน
เห็นด้วย 224 ไม่เห็นด้วย 231 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 40 13.9.2019
82% เห็นด้วย
ขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้าบีทีเอส
วันที่ 5 กันยายน 2562 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอตามรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่เห็นควรให้ขยายสัมปทานทางด่วน เพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) (BEM) และไม่ขยายสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส ที่จะสิ้นสุดในปี 2572 ด้วยคะแนน 412 ต่อ 25 งดออกเสียง 20 คะแนน ซึ่งเมื่อผ่านการลงมติจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้นำไปปฏิบัติต่อไป
เห็นด้วย 412 ไม่เห็นด้วย 25 งดออกเสียง 20 ไม่ลงคะแนน 40 5.9.2019